RRIM 600PB (ยอดดำ)
ยางพาราสายพันธุ์มาเลเซีย
PB 350 (RRIM600PB ยอดดำ)
PB 350 หรือ 600 ยอดดำมาเลเซีย สายพันธุ์นี้ถูกพัฒนามาจากสายพันธุ์ 600 เดิม ซึ่งโครงสร้างต้นทั้งหมดจะอยู่ในรูปแบบของ ไม้ซุงลักษณะใบจะคล้ายๆ กับ RRIM 600 แต่ลำต้นจะมีขนาดใหญ่กว่าเมื่ออายุ 4 ปี เราสามารถสังเกตถึงความแตกต่างโดยสิ้นเชิง
PB 350 หรือ 600 ยอดดำมาเลเซีย สายพันธุ์นี้ถูกพัฒนามาจากสายพันธุ์ 600 เดิม ซึ่งโครงสร้างต้นทั้งหมดจะอยู่ในรูปแบบของ ไม้ซุงลักษณะใบจะคล้ายๆ กับ RRIM 600 แต่ลำต้นจะมีขนาดใหญ่กว่าเมื่ออายุ 4 ปี เราสามารถสังเกตถึงความแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ข้อดีของยางพาราสายพันธุ์ PB 350 นี้คือ
1. PB 350 แก้ปมด้อยของสายพันธุ์ RRIM 600 ทั้งหมด เช่น ทนต่อการติดเชื้อราที่มาจากทางดินและทางอากาศได้ดีมาก หลายเท่าตัว เช่น เชื้อราไฟทอปเธอร่า เป็นต้น
2. PB 350 สายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาเพื่อ ให้สามารถอยู่ได้ในสภาพพื้นที่ที่แล้งหรือขาดน้ำได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งสายพันธุ์นี้จะมีอัตราอยู่รอดดีกว่า สายพันธุ์ RRIM 600 ถึง 3 เท่า เนื่องจากโครงสร้างลำต้นทั้งหมดจะอยู่ในลักษณะของ ไม้ซุง ซึ่งภาษาท้องถิ่นมาเลเซียเรียกว่า Klon Balak หรือ โคลนนิ่งไม้ซุงนั่นเอง
3. PB 350 มีระบบรากแก้วที่ยาวกว่า สายพันธุ์ RRIM 600 ถึง 3 เท่า ทำให้การหล่อเลี้ยงธาตุอาหาร ของท่ออาหารและน้ำ Sylem และ Ploem มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่ และระบบรากสามารถเดินหาอาหารได้ลึกและไกลกว่าสายพันธุ์ RRIM 600
4. PB 350 หน้ายางนิ่ม ไม่หนาและไม่บางจนเกินไป ข้อดี ไม่ทำให้เกิดภาวะหน้ายางตาย หรือหน้ายางแตก
5. ในสภาวะ ดิน ฟ้า อากาศ ที่เหมาะสม PB 350 นี้ สามารถเปิดหน้ายางได้เพียงแค่ปีที่ 5 เท่านั้น จะเร็วกว่าสายพันธุ์ RRIM 600 ถึง 2 ปี ทำให้เกษตรกรประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น
6. PB 350 โตไว โตเร็ว ลักษณะโดยกายภาพแล้ว จะให้ขนาดความใหญ่ลำต้น ปีละ2 นิ้ว หรือ 4 ปี 8 นิ้ว หรือ 50 เซนติเมตรรอบวงนั่นเอง
7. ช่วงอายุการให้ผลผลิตสามารถให้ผลผลิตได้ถึงปีที่ 40 จากการวิจัยสายพันธุ์ PB 350 จะชะลอให้หรือคงที่ Stable เมื่ออายุต้นอยู่ปีที่ 35 เป็นต้นไป
8. การให้ผลผลิต จากข้อมูลขององค์กรพัฒนาสายพันธุ์ยางพาราแห่งมาเลเซีย หรือ (Lembaga GetahMalaysia , LGM) สามารถให้ผลผลิตถึง 450 กิโลกรัม/ไร่/ปี (6 เดือน)
9. การพัฒนาความเข้มข้น (intensity) ของน้ำยาง PB 350 อยู่ที่ 38-40% คำนวณจากเปอร์เซ็นน้ำยางแห้ง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูงสุด
10. PB 350 สามารถปลูกได้ในที่เนินเขาความชันไม่เกิน 30 องศา และพื้นที่ราบลุ่ม
1. PB 350 แก้ปมด้อยของสายพันธุ์ RRIM 600 ทั้งหมด เช่น ทนต่อการติดเชื้อราที่มาจากทางดินและทางอากาศได้ดีมาก หลายเท่าตัว เช่น เชื้อราไฟทอปเธอร่า เป็นต้น
2. PB 350 สายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาเพื่อ ให้สามารถอยู่ได้ในสภาพพื้นที่ที่แล้งหรือขาดน้ำได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งสายพันธุ์นี้จะมีอัตราอยู่รอดดีกว่า สายพันธุ์ RRIM 600 ถึง 3 เท่า เนื่องจากโครงสร้างลำต้นทั้งหมดจะอยู่ในลักษณะของ ไม้ซุง ซึ่งภาษาท้องถิ่นมาเลเซียเรียกว่า Klon Balak หรือ โคลนนิ่งไม้ซุงนั่นเอง
3. PB 350 มีระบบรากแก้วที่ยาวกว่า สายพันธุ์ RRIM 600 ถึง 3 เท่า ทำให้การหล่อเลี้ยงธาตุอาหาร ของท่ออาหารและน้ำ Sylem และ Ploem มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่ และระบบรากสามารถเดินหาอาหารได้ลึกและไกลกว่าสายพันธุ์ RRIM 600
4. PB 350 หน้ายางนิ่ม ไม่หนาและไม่บางจนเกินไป ข้อดี ไม่ทำให้เกิดภาวะหน้ายางตาย หรือหน้ายางแตก
5. ในสภาวะ ดิน ฟ้า อากาศ ที่เหมาะสม PB 350 นี้ สามารถเปิดหน้ายางได้เพียงแค่ปีที่ 5 เท่านั้น จะเร็วกว่าสายพันธุ์ RRIM 600 ถึง 2 ปี ทำให้เกษตรกรประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น
6. PB 350 โตไว โตเร็ว ลักษณะโดยกายภาพแล้ว จะให้ขนาดความใหญ่ลำต้น ปีละ
7. ช่วงอายุการให้ผลผลิตสามารถให้ผลผลิตได้ถึงปีที่ 40 จากการวิจัยสายพันธุ์ PB 350 จะชะลอให้หรือคงที่ Stable เมื่ออายุต้นอยู่ปีที่ 35 เป็นต้นไป
8. การให้ผลผลิต จากข้อมูลขององค์กรพัฒนาสายพันธุ์ยางพาราแห่งมาเลเซีย หรือ (Lembaga Getah
9. การพัฒนาความเข้มข้น (intensity) ของน้ำยาง PB 350 อยู่ที่ 38-40% คำนวณจากเปอร์เซ็นน้ำยางแห้ง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูงสุด
10. PB 350 สามารถปลูกได้ในที่เนินเขาความชันไม่เกิน 30 องศา และพื้นที่ราบลุ่ม